โรคเบาหวาน สถิติแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเบาหวานมากกว่าผู้ชาย โดย 4 ใน 10 ของผู้หญิงที่เป็นเบาหวานอยู่ในวัยเจริญพันธุ์ นอกจากนี้ยังพบว่าหญิงตั้งครรภ์บางรายมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง และโอกาสที่จะเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ก็มีมาก ซึ่งนอกจากจะส่งผลเสียต่อตนเองแล้ว ยังทำให้ทารกคลอดอีกด้วย ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงยังมีแนวโน้มที่จะพัฒนาตามอายุมากกว่ามารดาที่ไม่มีเบาหวานขณะตั้งครรภ์
อย่างไรก็ตามให้กินน้ำตาล 50 กรัม และเจาะเลือด 1 ชั่วโมงต่อมาเพื่อตรวจระดับน้ำตาลในเลือด หากมีค่ามากกว่า 140 มก./ดล. ถือว่าผิดปกติ ควรตรวจเพิ่มเติมโดยใช้ 100 g การทดสอบการตอบสนองของฮอร์โมนอินซูลินต่อระดับน้ำตาลในเลือด หรือ OGTT 100 กรัมใช้ในการตรวจหาการตั้งครรภ์ ในระยะเบาหวานจะประกอบด้วยขั้นตอนต่อไปนี้ อดอาหารเป็นเวลา 9 ชั่วโมง FBS ตามด้วยการเจาะเลือด
หลังจากนั้น สตรีมีครรภ์จะได้รับกลูโคส 100 กรัม โดยปกติจะเป็นน้ำมะนาว ลดอาการคลื่นไส้อาเจียน จากนั้นเจาะเลือด 2-3 ชั่วโมงหลังรับประทานน้ำตาล หากพบระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติจะทำการรักษาตามเกณฑ์การวินิจฉัย ระดับน้ำตาลในเลือดปกติที่วินิจฉัยได้คือ 95 180 155 140 มก./ดล. การวินิจฉัยแบ่งออกเป็น สองประเภท คือ GDM A1 และ GDM A2 กรณี GDM A1 ค่าการทดสอบการตอบสนองของฮอร์โมนอินซูลินต่อระดับน้ำตาลในเลือด Test 2 ใน 3 ผิดปกติ
หากเป็น GDM A2 นอกจากการควบคุมอาหารแล้วยังต้องใช้อินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ในกรณีนี้ สตรีมีครรภ์จะอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญด้าน โรคเบาหวาน โดยตรง ลักษณะของอุจจาระและการขับถ่าย บอกได้ถึงภาวะสุขภาพ กระเพาะอาหารมีหน้าที่ย่อยอาหารเมื่อเรารับประทานอาหารขนส่งสารอาหารไปยังร่างกาย
สิ่งที่เหลือจากการย่อยและดูดซึมเป็นกากอาหารและถูกขับเป็นอุจจาระ ลักษณะอุจจาระและการขับถ่ายแตกต่างกันออกไป ตามอาหารที่รับประทานและภาวะสุขภาพของบุคคลนั้น อุจจาระเป็นตัวบ่งชี้ภาวะสุขภาพอย่างหนึ่ง ดังนั้นการสังเกตรูปร่าง ลักษณะ และสีของอุจจาระเป็นประจำจึงเป็นเรื่องง่ายเหมือนการตรวจสุขภาพตัวเองตั้งแต่แรก
การขับถ่ายที่ดีคือการที่ร่างกายสามารถถ่ายอุจจาระได้ทุกวัน เฉลี่ยวันละ 1 ครั้ง ไม่เกิน 3 ครั้ง ขับถ่ายคล่อง อุจจาระนิ่มแต่ไม่เหลว ตรงกันข้ามกับคนที่มีปัญหาเรื่องท้องผูก ถ่ายอุจจาระน้อยกว่าปกติหรือน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ และมีอาการผิดปกติระหว่างการขับถ่ายตามมา เช่น ขับถ่ายนาน ต้องใช้น้ำฉีดหรือนิ้วมือช่วยเบ่ง รวมถึงความรู้สึกที่ไม่สามารถถ่ายอุจจาระที่แข็ง เป็นเม็ดหยาบ หรือแห้งได้
และท้องอืดอึดอัด แต่ถ้าจำนวนครั้งของการขับถ่ายเกิน 3 ครั้งต่อวัน ก็อาจหมายความว่าร่างกายมีความผิดปกติได้เช่นกัน ลักษณะของอุจจาระอาจบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพดังต่อไปนี้ อุจจาระมีลักษณะเป็นก้อนแข็งเล็กๆ หรืออุจจาระกระต่าย แสดงว่า มีปัญหาท้องผูก ทั้งนี้ เนื่องจากอุจจาระแห้งและผ่านลงลำไส้ได้ยาก อาจมีอุจจาระค้างอยู่ในลำไส้เป็นเวลานาน เกิดจากการรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อยเกินไป
รวมถึงการดื่มน้ำน้อยหากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้ท้องผูกเรื้อรังและอาจกลายเป็นมะเร็งลำไส้ได้ อุจจาระก้อนเล็กๆ รวมกันเป็นก้อนๆ เป็นอีกลักษณะหนึ่งของอาการท้องผูก แก้ไขได้ด้วยการกินอาหารที่มีกากใยสูง ออกกำลังกาย และหลีกเลี่ยงความเครียด การขับถ่ายยังไม่มีปัญหา แต่อาจเป็นสัญญาณว่าคุณดื่มน้ำน้อยเกินไป อุจจาระที่สวยงาม ผิวเรียบเหมือนกล้วย ไม่แข็งหรือนิ่มเกินไป
อุจจาระแสดงถึงสุขภาพที่ดี อุจจาระแตกเป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อให้ขับถ่ายสะดวก เป็นอุจจาระที่ดี แต่ร่างกายอาจขาดสารอาหาร หรือเส้นใยบางประเภท อุจจาระกึ่งเหลว นี่อาจเป็นอาการเริ่มต้นของโรคอุจจาระร่วง หรือแบคทีเรียในลำไส้ไม่สมดุลสามารถแก้ไขได้ด้วยการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ หรือกินโยเกิร์ตเพื่อปรับสมดุลของแบคทีเรียในระบบทางเดินอาหาร
ตัวอย่างน้ำคืออาการท้องร่วงหรือลำไส้ติดเชื้อ ควรกินเกลือ ดื่มน้ำบ่อยๆ แต่ถ้าไม่หายภายใน 1 วัน ควรไปพบแพทย์ทันที อาการท้องผูกเป็นปัญหาที่พบบ่อย โดยเฉพาะผู้ที่รับประทานอาหารและดื่มน้ำไม่สมดุล ผลกระทบต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ ความเครียด เบื่ออาหาร พลังงานต่ำ ริดสีดวงทวาร หรือรอยแยกรอบๆ ทวารหนัก เพราะเมื่ออุจจาระแห้งแข็งจะขูดหลอดเลือดจนฉีกขาด
การเบ่งอุจจาระมากเกินไปจะทำให้ความดันบริเวณหน้าอก ตา ช่องท้อง และอวัยวะอื่นๆ เพิ่มขึ้น กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานจะอ่อนแรงไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้ ท้องผูกนาน ๆ อาจทำให้ลำไส้อุดตันได้ ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาท้องผูกต้องรีบหาทางแก้ไข หรือหากกังวลใจควรปรึกษาแพทย์เพราะหากมีอาการท้องผูกบ่อยๆ หรือท้องผูกเรื้อรังอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพร้ายแรงได้
บทความที่น่าสนใจ : มิตรภาพ สิ่งที่ผู้ปกครองสามารถทำได้เพื่อสนับสนุนมิตรภาพของลูก